
Data communication 4
.jpg)
-
เทคนิคการพิมพ์ภาพเบื้องต้น
ผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ด้วยกระบวนการทางภาพพิมพ์มีเทคนิคมากมายตามวิธีการของการพิมพ์ภาพแต่ละอย่าง ได้แก่ ภาพพิมพ์แกะไม้ ภาพพิมพ์โลหะ ภาพพิมพ์หิน ภาพพิมพ์ตะแกรงหินไหม เป็นต้น โดยขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำแม่พิมพ์เป็นสำคัญ ซึ่งตัววัสดุที่นำมาใช้อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามการเวลาและยุคสมัย ซึ่งผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับปรุงเทคนิคและวิธีการทางการพิมพ์ในแต่ละครั้งให้เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม แม้วัสดุอาจมีการเปลี่ยนแปลง แต่วิธีการพิมพ์ภาพไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งผู้ศึกษาการพิมพ์ภาพควรทำความเข้าใจ เพื่อช่วยให้การลงมือปฏิบัติงานจริงดำเนินไปด้วยความสะดวกและปลอดภัย โดยสามารถจำแนกเทคนิคการพิมพ์ภาพเบื้องต้นอย่างกว้างๆได้๔เทคนิคด้วยกัน คือ
4.1 เทคนิคการพิมพ์นูน(Relief printing)
เทคนิคนี้มีวิธีการไม่ยุ่งยาก วัสดุอุปกรณ์หาได้ง่าย สามารถพบเห็นการณ์พิมพ์แบบนี้อยู่ทั่วไป ซึ่งเป็นเทคนิคการสร้างสรรค์แบบง่ายๆ คือ สร้างแม่พิมพ์ด้วยวัตถุอย่างไดอย่างหนึ่งให้เกิดส่วนลึกและส่วนนูน เป็นภาพและลวดลายขึ้น ส่วนลึกและนูนอาจเกิดจากการแกะ การหล่อการกด การใช้กรดกัดหรือวิธีการอื่นใดก็ได้ หลังจากนั้นนำสีไปทาหรือกลิ้งผ่านส่วนบนสุดที่นูนของแม่พิมพ์ แล้วนำแม่พิมพ์ไปกดแนบกับสิ่งที่ต้องการจะพิมพ์จะได้ภาพพิมพ์ที่ต้องการ
อนึ่ง เทคนิคการพิมพ์แบบนี้ ผู้สร้างแม่พิมพ์ต้องคำนึงถึงลักษณะของภาพที่จะเกิดขึ้นด้วยๆ คือ "จะกลับจากซ้ายไปขวา" แบบเงาในกระจกเงา การออกแบบจึงควรคำนึงถึงปรากฏการณ์กลับซ้ายขวาของพื้นรองรับว่า จะออกแบบภาพลวดลายอย่างไรจึงจะได้ภาพที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง หรือตรงกับจุดมุ่งหมายของการณ์สร้างสรรค์งานภาพพิมพ์แต่ละลักษณะ
เทคนิคการพิมพ์นูนจะประกอบด้วยการพิมพ์หลายอย่าง เช่น ภาพพิมพ์แกะไม้(Wood cut) การพิมพ์แกะยาง (Lino cut) การพิมพ์โลหะ (Metal etching) การพิมพ์กระดาษแข็ง (Cardboard printing) เป็นต้น
4.2 เทคนิคการพิมพ์ร่องลึก (Intaglio printing)
กระบวนการพิมพ์เเบบนี้จะต่างไปจากการพิมพ์ทั่วไป เป็นเทคนิคการพิมพ์ที่ตรงกันข้ามกับเทคนิคเเม่พิมพ์นูน คือ เเม่พิมพ์นูนนั้น ภาพพิมพ์จะเกิดจากส่วนนูนของเเม่พิมพ์ติดสีพิมพ์เเละประทับรอยลงบนพื้นผิวที่รองรับ เเต่เทคนิคเเม่พิมพ์ร่องลึกเป็นการสร้างเเเม่พิมพ์โดนใช้ส่วนที่เป็นร่องของเเม่พิมพ์เป็นตัวพิมพ์ เป็นการพิมพ์ให้ติดเป็นภาพจากหมึกพิมพ์ที่ขังอยู่ตามส่วนที่ต่ำกว่าพื้นผิวของเเผ่นเเม่พิมพ์ โดยเริ่มต้นจากการสร้างภาพหรือริ้วรอยลงบนเเม่พิมพ์ด้วยการเเกะ ขีดขูดให้เป็นรอยบนเเผ่นโลหะด้วยของเเหลม จากนั้นนำไปแช่กรดกัดเป็นร่อง เเล้วใช้หมึกพิมพ์ที่อยู่ในร่องติดกับผิวของวัตถุที่ต้องการพิมพ์ โลหะที่ใช้เป็นเเม่พิมพ์ร่องลึกนี้อาจจะเป็นแผ่นทองเเดง สังกะสีอะลูมิเนียม เเมกนีเซียม เเมกนีเซียมหรือพลาสติกก็ได้ กรรมวิธีภาพพิมพ์ร่องลึกที่เราคุ้นเคยมากก็คือ ภาพพิมพ์เืคนิคกัดกรดหรือ "เอตชิง" (Etching) โดยการกัดเส้นหรือลายผิวต่างๆ ในเเผ่นโลหะด้วยน้ำยากัดเเม่พิมพ์ประเภทต่างๆ
-
4.3 เทคนิคแม่พิมพ์ราบ ( planographic printing )
การพิมพ์แบบนี้ไม่ต้องแกะแม่พิมพ์ให้เป็นร่องลึกอย่าง ๒ วิธีแรก เนื่องจากแม่พิมพ์มีลักษณะเป็นพื้นราบ ดังนั้นจึงเรียกว่า ภาพพิมพ์ราบ (Surface printing or Planer printing)
วิธีการพิมพ์ราบที่สำคัญ คือกรรมวิธีที่เรียกว่า ภาพพิมพ์หิน หรือ Lithography มาจาก ภาษากรีกว่า “lithos” ที่แปลว่า หิน กับคำว่า “grapho” ที่แปลว่าเขียน
เทคนิควิธีการพิมพ์ภาพ จะใช้วัสดุที่มีส่วนผสมของไข นำมาเขียนภาพบนแผ่นหิน ผิวหน้าเรียบ ขั้นตอนนี้อาสัยวิธีการทางเคมีเข้าร่วมด้วย โดยใช้กาวอารบิกและน้ำกรดดินประสิว เป็นต้น เพื่อช่วยให้ไขเหลือติดอยู่กับแม่พิมพ์ตามที่ต้องการ เวลาพิมพ์ก็ใช้น้ำเคลือบผิวหน้าของแผ่นหินแล้วกลิ้งหมึก หมึกจะติดเฉพาะส่วนไขที่เขียนเป็นลวดลาย ส่วนบริเวณอื่นๆ หมึกจะไม่ติด เพราะมีน้ำเคลือบไว้ จากนั้นจึงทำการพิมพ์ด้วยเครื่องรีดพิมพ์หิน
เกร็ดศิลป์
กาวอารบิก (Gum Arabic)
ภาษาไทยเรียกว่า กาวกระถิน เป็นสารประกอบธรรมชาติชนิดหนึ่ง มาจากน้ำยางที่ไหลออกมาจากผิวเปลือกของลำต้นของพืชในกลุ่มอะคาเซีย (Acacia) โดยน้ำยางจะไหลเกาะกันเป็นก้อน เมื่อกระทบความร้อนจากแสงแดดจะแห้งแข็งตัวเกาะอยู่ตามกิ่งก้านและลำต้น มีสีสันแตกต่างกันไปตั้งแต่ขาวใสจนถึงเหลืองอำพัน
น้ำยางจากพืชกลุ่มนี้ถูกรวบรวมนำมาจำหน่ายในเชืงพาณิชย์มานานกว่า ๔,๐๐๐ ปี โดยในระยะแรกได้นำมาใช้ในรูปแบบของกาวเพื่อผสมสีสำหรับเขียนอักขระและรูปภาพตามความเชื่อของชาวอิยิปต์โบราณ น้ำยางของพืชกลุ่มนี้มีหลายชนิด แต่ชนิดที่ใช้น้ำยางคุณภาพดีที่สุดคือ อะคาเซียเซเนกัล (Acacia Senegal) ที่เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ตอนกลางของประเทศซูดานในทวีปแอฟริกา จึงมีชื่อเรียกและเป็นที่รู้จักกันว่า กัมซูดาน (Sudan Gum) ในทางทัศนศิลป์ กาวอารบิกใช้เป็นตัวประสานผงสี (Binder) ที่มีอยู่ในหลอดสีเพื่อให้สียึดติดกับพื้นผิวที่จะระบาย ใช้ผสมกับสีน้ำและสีโปสเตอร์ หากเติมลงในสีน้ำมากๆ จะทำให้สีขึ้นเงา โปร่งแสง แห้งช้า และลดการซึมเข้าหากันของสี
4.4 เทคนิคการพิมพ์ลายฉลุ (Stencil printing )
การพิมพ์ลายฉลุเป็นกระบวนการพิมพ์แบบเดียวที่ภาพพิมพ์ปรากฏตรงกับแม่พิมพ์ไม่กลับซ้ายขวาการพิมพ์แบบนี้เป็นการพิมพ์ผ่านฉากพิมพ์ที่ปล่อยให้สีพิมพ์ผ่านจากด้านบนแม่พิมพ์ทะลุลงมายังพื้นรองรับข้างล่าง เป็นเทคนิคการพิมพ์ที่มีวิธีการต่างๆมากมายเช่นการพิมพ์กระดาษฉลุ
การพิมพ์สีผ่านใบไม้หรือวัสดุ ไปจนถึงการพิมพ์ตะแกรงไหมการพิมพ์คะแกรงไหมหรือที่นิยมเรียกกันว่า "ซิลค์กรีน" (Silk Screen) คือการใช้ผ้าไหม(Silk) ที่ผลิตขึ้นเพื่อการพิมพ์โดยเฉพาะนำมาขึงให้ตึงบนกรอบไม้หรือกรอบโลหะแล้ว สร้างภาพขึ้นบนผ้าไหม ซึ่งมีสภาพเป็นฉากพิมพ์(Screen) ปิดกั้นส่วนที่ไม่ต้องการให้เกิดเป็นภาพทึบตันและปล่อยส่วนที่ส่วนต้องการให้เป็นภาพโปร่งการปิดกั้งบนผ้าไหมมีหลายวิธี เช่นระบายด้วยชะเเล็ก สีน้ำมันติดฟิล์ม ตลอดจนถึงการใช้น้ำยาไวแสง เมื่อนำแม่พิมพ์ไปวางทาบลงบนสิ่งที่จะพิมพ์เช่นกระดาษ ผ้า แก้ว พลาสติก หรือโลหะเทสีลงบนแม่พิมพ์ แล้วใช้ยางปาดที่มีผิวหน้าเรียบ ปาดสีให้ผ่านแม่พิมพ์ทะลุออกไปติดบนพื้นรองรับ ก็จะได้ภาพพิมพ์ตามที่ต้องการ
2.ผลงานทัศนศิลป์ของไทยสมัยประวัติศาสตร์ก่อนสุโขทัย สมัยประวัติศาสตอร์เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ 1180 โดยบริเวณพื้นที่ที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน หรือเมื่อครั้งอดีตเรียกว่า"สุวรรณภูมิ"ได้พัฒนาการของชุมชนที่ขยายตัวก่อตั้งขึ้นเป็นอาณาจักรต่างๆ ทั้งนี้ -
ผลงานทัศนศิลป์ในดินแดนแถบนี้ในช่วงพุทะศตวรรษที่ 3 จะมีการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ที่ไม่สลับซับซ้อน ซึ่งผลงานส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวใกล้ตัวและมุ่งเน้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญมากกว่า
จะเน้นไปในเรื่องความสวย
จนกระทั่งเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 ชาวอินเดียจากชมพูทวีปได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายและเผยแผ่ศาสนายังสุวรรณภูมิพร้อมทั้งนำเอารูปแบบศิลปกรรมของอินเดียเข้ามาเผยแผ่ จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคั้งใหญ่ในศิลป์กรรมทั่วสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะการสร้างรูปเคารพต่างๆ ศาสนาสถานศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนาขณะเดียวกันผู้แถบนี้ก็มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนาธรรม โดยมีการนำรูปแบบศิลปกรรมจากอาณาจักรใกล้เคียงเข้ามาผสมผสานเพื่อให้ได้รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอาณาจักรนั้นๆ อีกด้วย สมัยประวัติศาสตร์ก่อนสุโขทัยจะมีการสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมของอาณาจักรสำคัญๆ ซึ่งได้กลายป็นรากฐานมรดกทางวัฒนธรรมไทยในยุคต่อๆ มาโดยจะขอยตัวอย่างอาณาจักรที่สำำคัญต่างๆ เช่น ทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้ หรือลพบุรี ล้านนา หรือเชียงแสน เป็นต้น
ศิลปะสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16)
ศิลปะสมัยทวารวดีสร้างขึ้นเพื่อพระพุทธศาสนานิกายมหายาน การสร้างพระพุทธรูปสมัยนี้ ระยะแรกเป็นการเรียนแบบศิลปะคุปตะของอินเดีย ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นรูปแบบของตนเอง งานประติมากรรมในสมัยนี้เป็นงานสำริดดินเผาไฟ และปูนของปั้น สันนิษฐานว่าศูนย์กลางอาณาจักรอยู่บริเวณ จังหวัดนครปฐม
ศิลปะสมัยศรีวิชัย(พุทธศตวรรษที่ 13-14)
สันนิฐานว่าอาณาจักรศรีวิชัยมีอาณาเขตตั้งแต่บริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ไปจนถึงเกาะสุมาตราและเกาะชวา ศิลปะสมัยศรีวิชัยได้แพร่เข้ามาพร้อมกับศาสนาพุทธแบบมหายานและศาสนาฮินดู จึงมักพบประติมากรรมรูปพระโพธิสัตว์
ศิลปะสมัยลพบุรี (พุทธศตวรรษที่ 16-18)
อาณาจักรลพบุรีหรือละโว้ มีอาณาเขตบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของงประเทศไทย ศิลปะไทยในสมัยลพบุรีได้รีบอิทธิจากขอมซึ่งเป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธนิกายมหายานกับศาสนาฮินดู ประติมากรรมมักสร้างขึ้นจากโลหะและการสลักหิน ด้านสถาปัตยกรรมนิยมสร้างประสาทหิน เช่น ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ศิลปะล้านนา (พุทธศตวรรษที่ 18-23)
อาณาจักรล้านนาหรือเชียงแสน มีศูนย์กลางอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย โดยพบโบราณสถานและโบราณวัตถุจำนวนมากที่จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ ศิลปะสมัยนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ประติมากรรมที่ปรากฏ ได้แก่ พระพุทธรูปและลวดลายประดับโบราณสถาน
อาณาจักรละโว้
เมืองละโว้ เมื่อแรกก่อตั้งนั้น ปรากฏข้อความในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระพุทธศักราช 1002 ปี จุลศักราช 10 ปีระกาสัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราชบุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติ เมืองตักกะศิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลไปสร้างเมืองละโว้
จากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในพงศาวดารเหนือ พอจะสรุปได้ว่าเมืองละโว้มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 1002 แล้ว และจากการขุดค้นทางโบราณคดี ปรากฏว่าตั้งแต่อำเภอชัยบาดาล ถึงอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ล้วนแต่มีหลักฐานเกี่ยวกับมนุษย์ในอดีตที่ยาวนานมาแล้ว จากชุมชนขนาดย่อมขยายเป็นเมืองเล็กๆ จนกระทั่งรวมตัวกันเป็นอาณาจักรหรือเขตปกครองที่เป็นส่วนย่อยของประเทศ ราวพุทธศตวรรษที่ 10 – 12 ละโว้กลายเป็นอาณาจักรหรือเมืองขนาดใหญ่แล้ว และในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 อาณาจักรละโว้มีความรุ่งเรืองอย่างมาก โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา
อาณาจักรละโว้ มีความเจริญมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอิทธิพลครอบคลุมดินแดนภาคกลางตอนบน ตั้งแต่จังหวัดนครสวรรค์เรื่อยมาจนถึงภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบางส่วน ศูนย์กลางของอาณาจักรละโว้ในตอนต้นสันนิษฐานว่าอยู่ที่เมืองลพบุรี และประมาณพุทธศตวรรษที่ 17 ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองอโยธยา ภายหลังต่อมาเมื่อใน พ.ศ.1893 ได้มีการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาขึ้นนั้นให้ละโว้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยาพระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี
แสดงให้เห็นอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพระพุทธศาสนาหลังจากพุทธศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา อาณาจักรขอมได้ขยายอิทธิพลเข้ามายัง
บริเวณนี้ ทำให้ความสำคัญของอาณาจักรละโว้ลดลง อิทธิพลศิลปวัฒนธรรมของขอมได้แพร่เข้ามาในดินแดนประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา และเลยมาทางตะวันตกได้แก่ ปราสาทเมืองสิงห์จังหวัดกาญจนบุรี และในช่วงเวลาดังกล่าวละโว้เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางภาคกลาง จึงได้รับอิทธิพลศิลปะขอม โดยนำมาผสมผสานรูปแบบให้เป็นลักษณะเฉพาะของตนเอง ได้แก่ พระปรางค์สามยอด และเทวสถานปรางค์แขก จังหวัดลพบุรี